แนะนำ ผู้ตรวจสอบบัญชี เงินเดือนเริ่มต้น
สวัสดีครับผม ผมเป็นหนึ่งในผู้ประกอบวิชาชีพ สอบบัญชี หรือที่คนทั่วๆไป เรียกว่า ออดิท (Auditor) ส่วนผู้ที่ได้ใบประกอบวิชาชีพนี้จะมีชื่อว่า Certified Public Accountant (CPA) นั่นเองครับ
แต่เพื่อนบางคนอาจจะงงว่า ออดิท นั้นหมายถึง ผู้ตรวจสอบบัญชี ทุกคนเลยหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่า ออดิทเนี่ยแบ่งเป็น Internal Audit และ External Audit ครับ ซึ่งในส่วนของ Internal Audit จะเป็นคนในบริษัทนั้นๆที่ทำหน้าที่ดูว่า ไอ้ระบบที่ ท่านๆ ในองกรณ์วางไว้เนี่ย ได้รับการปฏิบัติตามมากน้อยแค่ไหน มีความเสี่ยงอะไรที่จะเกิดได้บ้าง เพื่อให้บริษัทอยู่ได้อย่าง Smoothly
ส่วน External Audit ก็จะเป็น คนนอก ครับ(ก็ชื่อก็บอกเนอะ) ที่ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทนั้นๆ เพื่อมาตรวจสอบในมุมของ งบการเงิน เป็นหลัก ซึ่งออดิทประเภทนี้มักจะ วนเวียนมาที่บริษัท สามเดือนครั้ง หกเดือนครั้ง หรือปีละครั้งบ้างก็แล้วแต่ ขึ้นกับหลายๆอย่าง
เอาล่ะครับ เพื่อนๆหลายคนคงพอทราบถึงแง่ของ มุมดาร์ค ของสายงานนี้จากหลายๆแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นคำบ่นหรือเพื่อนที่ทำอาชีพนี้ในเฟซบุ๊ค ,เสียงลือเสียงเล่าอ้าง หรือเห็นการทำงานของพวก "ออดิท" เหล่านี้ที่แวะเวียนมาที่ออฟฟิตตัวเอง ว่าอาชีพนี้นี่คนจะมาทำต้อง ดึก ถึก และห้ามตาย* รวมถึงสภาพการทำงานก็มักจะเลิกกันดึกๆดื่นๆ เรียกได้ว่าวันไหนที่ ออดิทเลิกแล้วยังเห็นพระอาทิตย์ เรียกว่าชีวิตเหมือนได้มงกุฏมิสเวิลในวันนั้น *.*
1. เงินดีหนิ
ใช่ครับหลายคนพอนึกถึงออดิท นอกจากงานที่หนักหน่วงแล้วในมิติของ งานที่ค่อนข้างได้รับผลตอบแทนดี ก็มักเป็นที่รับรู้ของคนทั่วๆไป ผมยอมรับเลยครับว่าอาชีพนี้ ค่อนข้างเห็นผลตอบแทนที่ ดีกว่า ในระดับเดียวกัน (ผมวัดดูจากคุณวุฒิที่จบมาทางธุรกิจและ วัยที่เท่าๆกันนะครับ)
ผลตอบแทนนอกจากจะ เริ่มต้น ย้ำว่าเริ่มต้นสำหรับนิสิตจบใหม่(์New Grad) ที่ค่อนข้างสูง กว่าสาขาอื่นในสายงานธุรกิจ เงินเดือนของออดิท ยังเป็นที่ยอมรับในแง่ที่ว่ามีการ เพิ่มขึ้นในแต่ละรอบที่ สูงมากอีกด้วย (แอบกระซิบว่า ปีละไม่ต่ำกว่า 10%-20% ครับ (แต่ปีที่แล้วรอบๆตัวผมเงินเดือนขึ้นมา 30%นะ* )) และการเพิ่มขึ้นจะเพิ่มทุกๆปี (ผมยังไม่เคยปีไหนไม่เพิ่มนะครับ) แม้ปีนั้นบริษัทเพื่อนคุณจะบอกว่า ปีนี้บริษัทผลประกอบการไม่ดี ของดการเพิ่มเงินเดือน ก็ตาม
เงินเดือนนี่ยังจะยิ่งเข้มข้นและ จำนวนจะมีนัยสำคัญ* มากขึ้นถ้าคุณทำงานใน ออดิทเฟิม (สำนักงานตรวจสอบบัญชี) ที่มีชื่อเสียงหรือที่เราเรียกว่า BIG4 (KPMG/ Deloiite/ EY/ PwC) และจะจ่ายดี มากขึ้นไปอีกถ้าคุณทำงานมามากกว่า 10ปี และก้าวสู่ตำแหน่ง หุ้นส่วน หรือ Partner ในบริษัทเหล่านั้น แต่เงินเดือนของเหล่า "พาทเนอร์" จะถูกเก็บเป็นความลับมากๆ และมีการคาดเดากัน(อย่างค่อนข้างแม่นยำ) ว่าสามารถซื้อรถ Toyota Camry ได้ทุกเดือนและอาจมากกว่าเดือนละ 1 คัน...
2. ประสบการณ์ที่เรียนรู้ แทบทุกอณูความเคลื่อนไหวของ "ลูกค้า"
ใช่ครับ "ออดิท" จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะอย่างยิ่ง ในการทำงบฯ เท่านั้นแต่ในขั้นตอนกว่าจะได้มาเป็นงบนี่น่ะสิครับ ออดิทเราจะต้องทั้ง ทำความเข้าใจกิจการ เพื่อวางแผลว่าเราจะตรวจสอบอย่างไรดี
การวางแผนการตรวจนั้น ออดิทต้องทำความรู้จักใน Core Business หรือลักษณะธุรกิจหลักๆของ ลูกค้า(คนที่มาจ้างเรา) ไม่ใช่เพียงแต่อ่านเอกสาร หรือหนังสือ วีดีทัศน์แนะนำบริษัท แต่เราจะมีการ จัดประชุมกับผู้บริหารระดับบึ้ม ขององกรณ์เพื่อสอบถาม วิถีชีวิตของบริษัท ทั้งที่ผ่านมาแล้ว และแพลนว่ากำลังจะทำอะไร (แน่นอนครับว่าต้องเก็บเป็นความลับขั้นสุด) เพื่ออะไรน่ะหรอครับ ก็เพราะการบัญชีในปัจจุบันไม่ได้แค่บันทึก รับเงิน จ่ายเงิน ซื้อของ แต่บัญชีในปัจจุบัน จะต้องมีการรับรู้ "สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น" เข้าไปหรือเอาไปบอกไว้ในงบการเงินอีกด้วย เช่น! บริษัทมีคดีความกับลูกค้า แล้วผู้บริหารดูเหมือนบริษัทจะแพ้ ไอ้แบบนี้ออดิท ก็จะเป็นคนรู้ แล้วดูต่อว่าสมควร เปิดเผย อย่างไรดี (คนนอกหรือแม้แต่พนักงานบริษัทเอง ผมว่าอาจไม่มีทางรู้เลยด้วยซ้ำ)
โครงสร้างของบริษัท ออดิทก็ต้องทำความเข้าใจครับ ไม่ว่าจะเป็น ใครใหญ่กว่าใคร การทำงานเป็นอย่างไร จะจ่ายเงินระดับสิบล้านต้องมีใครเซ็นบ้าง หรือรวมถึง เงินเดือนของแต่ละคน!
ใช่ครับออดิทจะทราบถึงโครงสร้างภาพรวมเหล่านี้ เพื่อมาออกแบบวิธีการตรวจแล้วก็ดูๆว่า ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นจากตรงไหนได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นทุจริต หรือข้อผิดพลาด การที่กิจการต้องเปิดเผยสิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าจำเป็นอย่างยิ่งและ ผู้บริหารปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องจัดเตรียมข้อมูลให้ออดิทครับ เพราะมันเป็นข้อตกลงขั้นแรกๆในการที่ออดิทจะตอบรับงานเลย! แม้ว่าผู้บริหารจะบอกว่าข้อมูลนั้นลับแค่นั้น แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับการตรวจสอบ ก็ต้องเอาให้ออดิท ยืมมาดู หน่อยเช่น เงินเดือน! เป็นต้น
เห็นมั้ยครับว่าการที่จะได้มาในข้อมูลแต่ละส่วน ออดิทจะต้อง ติดต่อกับฝ่ายต่างๆแทบจะทั้งองกรณ์ เช่น ผู้บริหารชั้นท้อป, ฝ่ายHR, ฝ่ายกฏหมาย และแน่นอน ฝ่ายการเงินและบัญชี
3. การก้าวกระโดดในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะด้านบัญชีและการเงิน : FAST TRACK !
ใช่ครับตามที่เพื่อนๆบางคอมเมนท์ ตอบเกี่ยวกับการก้าวกระโดดในหน้าที่การงาน (และการเงิน) ของออดิทนั้น มักจะรวดเร็ว และ Fast Track แซงโค้งเร็วกว่า เพื่อนๆพนักงานในระดับเดียวกันแต่คนละหน้าที่ โดยเฉพาะตำแหน่ง บัญชี และการเงินของบริษัท
ทำไมน่ะหรอครับ ผมขอยกตัวอย่างฝ่ายบัญชีและการเงินที่ชาว ออดิท มักจะไปฝังตัวเมื่อถึงเวลาตรวจสอบ อิอิ คุณๆเพื่อนๆลองนึกภาพดูนะครับ เมื่อเด็กจบใหม่ๆ ที่เข้าทำงานออดิท มักจะได้รับงานตรวจสอบบัญชีที่ ความเสี่ยงต่ำ และวิธีการตรวจสอบไม่ยุ่งยาก และ New Grad เหล่านั้นสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น เงินสด, รายจ่าย หรือ ที่ดินอาคาร เป็นต้น สังเกตุมั้ยครับว่า แต่ละรายการคุณน่าจะพอ เดาๆแนวการตรวจสอบได้(ก็มันเกี่ยวกับบุคคลที่สามไง บริษัทเลยหลอกลวงได้ยากหน่อย) เช่น เงินสด เราก็ดูเงินที่บริษัทเราลงบัญชี กับตัวเลขในแบงค์ หรือ รายจ่ายทั่วๆไป มันก็ต้องเกี่ยวกับ คนอื่น (พ่อค้า) ก็ตรวจโดยดูบิลส่งของ หรือใบแจ้งหนี้ (เบื้องต้นนะครับ) ดังนั้นเด็กใหม่เหล่านี้จะใช้เวลา 1 ปีแรกกับการตรวจอะไรก็ตามที่มักจะ เหมือนๆกัน ในทุกๆกิจการ หรือสิ่งที่มันยังไม่ใช่ Core Business นั่นเอง ในขณะเดียวกันพนักงานที่รับผิดชอบในหน้าที่บางอย่างเช่น ถือเงินสดย่อยไว้รับจ่าย, บันทึกบัญชีเวลาเจ้าหนี้มาวางบิล ก็มักจะเจอกับเหตุการณ์นั้นๆตลอดครับ (แต่ข้อดีก็เยอะครับ อ่านต่อไปก่อนนะจ้ะ)
พอมาปีต่อๆมา (ขอรวบยอดนะครับ) ออดิทจะได้สัมผัสการตรวจสอบกับส่วนที่เป็น Key Stream ของธุรกิจ เช่น ตรวจรายการรายได้ (ก็แหงล่ะครับ แต่ละที่ก็บันทึกรายได้คนละเวลา เช่น ขายข้าว, สร้างคอนโด, เมมเบอร์ฟิตเนส, ปล่อยกู้...) หรือ ล้ำๆก็เช่นตรวจสอบมูลค่าของหุ้นที่พวกโบรคเกอร์เอามาคิดค่านายหน้า ว่าโอเคไหม นี่แค่บางส่วนนะครับ ที่เราๆเพื่อนๆพอจะมองแยกออกจาก ธุรกิจทั่วๆไป ได้อย่างชัดเจน
แต่มันยังไม่หยุดแค่นี้ครับ มันยังมีส่วนอื่นของธุรกิจที่ ออดิท ต้องไปทัช และไป รบกวน และจำเป็นต้องใช้ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ มากขึ้น ดังนั้นเมื่อโตๆขึ้นแล้วทักษะ ทางด้านการตรวจสอบ จึงจำเป็นต้องอิงหลัก ดุลยพินิจ สูงมากๆ สูงจริงๆ ซึ่งตำแหน่งที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆเหล่านี้มักเป็น ออดิทที่ทำงานมามากกว่า 5ปี แล้วหรือ ระดับ เมเนเจอร์ ครับ ส่วนดุลยพินิจที่ผมกล่าวถึงเนี่ย ก็อย่างเช่น บริษัท A ไปซื้อบริษัท B แต่บังเอิญ ซื้อไม่หมด ซื้อมาได้แค่30% ของหุ้นใน B ทั้งหมด อ้าว อ้าว อ้าว แล้วสองบริษัทนี้ต้องนำมาทำ งบการเงินรวม หรือไม่ อันนี้ทางฝ่ายเมเนเจอร์ ขึ้นไปก็มักจะรับผิดชอบในการคิดว่า ไอ้การซื้อขายกิจการแบบนี้เนี่ย เข้าข่ายการ รวมธุรกิจมั้ย แล้วถ้ารวมกันแล้ว ได้ลูกออกมาหน้าตาอย่างไร (บริษัทแม่/ กิจการร่วมค้า/ หรือถือหุ้นเอาไว้เก็งกำไรเฉ้ยเฉย ) อ้าว อ้าว อ้าว ทำไมต้องคิดน่ะหรอครับ ก็เพราะแต่ละรูปแบบ กิจการต้องลงบัญชี รวมถึงทำงบต่างกันน่ะสิครับ
หลายคนคงเริ่มสำลัก และสะอึกว่า อะไรของมันวะ ก็ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าจากข้างต้น คงจะพอเห็นภาพของเหล่า ออดิท มากขึ้นนะครับว่า การที่เราทำหน้าที่ออดิทนั้น จะสามารถสัมผัสได้ทุกวงจรของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น รายจ่าย, รายรับ, การเพิ่มทุน, การขยายกิจการ, การออกหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือแม้แต่ การปิดกิจการต้องลงบัญชีอย่างไร ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผมมองว่าประมาณ 5 ปีแรกของการทำงานออดิทจะได้สัมผัสแทบครบเลยครับ ซึ่งถ้าเทียบกับเพื่อนพนักงานบัญชีขององกรณ์ จะมีหน้าที่ที่เฉพาะเป็นของตัวเอง เช่น คุณ A ทำหน้าที่บันทึกจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ ก็จะบันทึกจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ตลอด หรือน้องB ทำหน้าที่บันทึกรายได้ ก็จะบันทึกรายได้เป็นประจำ ซึ่งแน่นอนว่าออดิทจะสามารถมองภาพรวมและสามารถ Manage ทั้งแผนกได้ (ถ้ากลายร่างจากออดิทเป็นพนักงานบริษัทนั้น) อย่างไรก็ตามพนักงานบัญชีในบริษัท จะมีความ Specialist มากกว่า ออดิทครับ เพราะแม้จะเผชิญกับการ จ่ายหนี้ แบบเดิมทุกวัน แต่คุณสามารถเจอกับรายละเอียดของงานนั้นๆ เช่น บริษัทซื้อของจากเมืองนอกวันนี้ (ก็มีเจ้าหนี้) แต่จ่ายเงินเดือนหน้า (เจ้าหนี้ก็หาย) แต่! เราจะใช้ เรทแลกเปลี่ยน ไหนมาบันทึกล่ะครับ ก็ในเมื่อมีหลายวันมาเกี่ยวข้อง และถ้าเกิดผลต่างตอนมีเจ้าหนี้ กับตอนจ่ายหนี้ อ้าว อ้าว อ้าว งงเต้ก จะเอาผลต่างไปยัดไว้ในไหน (เชื่อสิ ออดิทบางคนก็ไม่รู้)
เห็นมั้ยครับว่าออดิท สามารถใช้เวลาไม่นานในการ วนเวียน ครบรอบธุรกิจและมันก็เลยทำให้ ง่ายต่อการ เรียนรู้เมื่อก้าวจากออดิทเข้าสู่บริษัทต่างๆ และออดิทมักจะได้ Fast Track ก้าวสู่การเป็น ระดับผู้จัดการ หรือ ระดับบริหารที่ค่อนข้างเร็วกว่าหลายๆตำแหน่งในเวลาเท่ากัน (ผมพูดในภาพรวมส่วนมากนะครับ เพราะมีเพื่อนหลายคนที่ไม่ใช่ออดิทที่โดดเด่นและโตเร็วกว่า ก็เกิดขึ้นได้ครับ) และผลคือบริษัทต้องการออดิทมานั่งอยู่ในตำแหน่งที่กล่าวมานี้ไงครับ ดังนั้นเราจึงมักเห็นออดิทที่ถูกดึงตัว ดึงดูด ลากมา หรือถูกเล่นของจาก บริษัทลูกค้าที่ออดิทนั้นเคยเข้าตรวจ ให้เข้ามาเป็นพนักงานบริษัทนั้นๆแทน (ก็มันไม่ต้องสอนแล้วไงเล่า !) ด้วยเงินเดือนที่น่าพอใจ เพราะถ้าไม่ คงดูดไม่ไปแน่ๆ จริงมั้ยครับ
4. เวลาการทำงาน Kod Flexible ! (Kod = Very in Thai)
ก่อนอื่น Flexible แปลว่า ยืดหยุ่น หลวมๆ หยวนๆ นะครับ และใช่ครับผมว่าข้อนี้ชาวออดิท หรือคนที่เคยทำงานด้วย มักจะรู้กันดีว่าเวลาการทำงาน (Working Hours) ของออดิทนั้น คือ..... คือเมื่อไหร่แน่ ก็เพราะว่าออดิท (มักจะ) ไม่มีการตอกบัตรเข้าออก หรือฉันต้องรีบตื่นตีห้า มาออฟฟิต 8.298 น. เพื่อทำการแตะบัตรให้ทัน 8.30น คุณจะไม่พบอะไรแบบนี้ที่สำนักงาน สอบบัญชีครับ (เท่าที่ผมทราบมานะ) แต่เรา(ขออนุญาตใช้เรา = ออดิท) จะยึดว่า "งานต้องเสร็จ" และ "ความรับผิดชอบนี่เองที่ทำตัวเป็นนาฬิกาให้เราครับ"
อย่างไรก็ตามคำว่าไม่มีเวลาเข้าออกอย่างเป็นทางการ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะตื่น จะเริ่มงานตามใจเฉิ่มแฉะได้ เพราะออดิทจะทำงานโดยแบ่งเป็นทีมๆ (มีตั้งแต่ 2-20คนหรือมากกว่า ตามขนาดหรือความซับซ้อนของลูกค้าที่เข้าตรวจ) ดังนั้นการที่คุณจะมาสายมากเกินควร ก็คงจะไม่ดีตราบใดที่เรายังมี ความแคร์เพื่อนร่วมงานในทีมเนอะ ซึ่งปกติเนี่ยผมก็มักจะถึงออฟฟิตลูกค้าที่เข้าตรวจประมาณ 9.15น (ที่จริง 9.30น. แต่คิดว่าสิบห้านาทีทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมาหน่อย) ซึ่งคิดว่าเป็นค่าเฉลี่ยที่ออดิทมักจะเริ่มงานกันนะครับ เพราะบางท่านๆ ก็เข้างานประมาณ 11 โมงก็มี หรือที่พีค เท่าที่เคยทราบคือ บ่าย2 ครับ ครับ 2pm!
แต่การที่ออดิทเข้างาน สายในสายตาบางท่าน มันแฝงด้วยเหตุผล (เราเรียกว่าเหตุผลนะ อิอิ) คือถ้าสมมติว่าลูกค้ารายนั้นๆ เริ่มงาน 8 โมงเช้าโดยปกติ แล้วออดิทเข้างาน 8 โมงเช้าเท่ากัน ผลคืออะไรน่ะหรอครับ กลายเป็นว่าลูกค้าไม่ได้ทำงานของตัวเองในช่วงแรกเลย (ใครพอคลุกคลีจะทราบว่า ช่วงออดิทเข้าตรวจ เค้ามักจะไป วนเวียน ระบบงานปกติของคุณ) และทำให้การเข้างานเช้าของออดิทนั้น ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาครับ อย่างไรก็ตามบางบริษัท ก็มักจะ กำหนดกฏเกณฑ์มาเลยว่า ออดิท ต้องเริ่มและ เลิกพร้อมกับเวลาทำงานของบริษัท ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้จริงๆครับ ถ้าออดิทจะไปสวัสดีคุณบ่อยๆ เพื่อที่จะขอเอกสารให้ทำงานทัน ตามเวลาของเรา
"ดีมากๆเลยล่ะสิ เข้ากี่โมงก็ได้ สบายจัง" กำลังคิดแบบนี้กันใช่มั้ยครับ ซึ่งมันก็ถูกและไม่เถียง แต่เพื่อนๆวนกลับไปดูว่า นาฬิกาของเราคือความรับผิดชอบว่างาน "ต้องเสร็จ" ดังนั้น เมื่อมันไม่มีการกำหนดเวลา เริ่มต้นตายตัว.. เวลาเลิก มันก็ไม่ตายตัวเช่นกันครับ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ ความซับซ้อนธุรกิจ, ความพร้อมของเอกสาร